ระบบไหลเวียนโลหิต
ระบบไหลเวียนเลือด Cardiovascular
System
ระบบไหลเวียนเลือดทำหน้าที่ขนส่งสารต่าง ๆ เช่น
อาหารและออกซิเจนไปทั่วร่างกาย และนำของเสียกลับคืนมา ส่วนประกอบสำคัญของระบบนี้มี 3
ส่วน ได้แด่ เลือด เป็นของเหลวที่นำสารต่าง ๆ เข้าและออกจาก
เซลล์หลอดเลือดเป็นท่อให้เลือดไหลผ่าน
และหัวใจทำหน้าที่สูบฉีดเลือด
ระบบหมุนเวียนของเลือดในคน
ในร่างกายมนุษย์มีหัวใจทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตให้ไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือด
การสูบฉีดโลหิตของหัวใจ ทำให้เกิดแรงดันให้เลือดไหลไปตามเส้นเลือด
ไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย และไหลกลับคืนสู่หัวใจ
โดยหัวใจของคนเราตั้งอยู่ในทรวงอกระหว่างปอดทั้งสองข้างค่อนมาทางด้านซ้ายชิดผนัง
ทรวงอก แบ่งออกเป็น 4 ห้อง ห้องบนสองห้อง
มีผนังบาง เรียกว่า เอเทรียม ( atrium ) ส่วนสองห้องล่างมีขนาดใหญ่กว่าและผนังหนา
เรียกว่า เวน ทริเคิล ( ventricle ) ระหว่างห้องบนกับห้องล่างทั้งสองซีกจะมีลิ้นหัวใจ
( value ) คอยเปิด- ปิด
เพื่อกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ
ในร่างกายของมนุษย์
ระบบการหมุนเวียนของเลือดประกอบด้วยหัวใจเป็นอวัยวะสำคัญ
ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย โดยมีเส้นเลือดเป็นท่อ
ลำเลียงเลือด ดังนั้นระบบหมุนเวียนเลือดของคนเราจึงประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน
1. เลือด ( blood
)
ในร่างกายของคนเรามีเลือดอยู่ประมาณ 6,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร เลือดประกอบไปด้วยส่วนที่เป็นของเหลว คือ น้ำเลือด ( plasma
) กับส่วนที่เป็นของแข็ง คือ เซลล์เม็ดเลือดแดง
เซลล์เม็ดเลือดขาว และ เกล็ดเลือด
1.1 ส่วนที่เป็นของหลว
คือ น้ำเลือดหรือพลาสมา ประกอบด้วยน้ำและสารต่างๆ
ซึ่งได้แก่ สารอาหารที่ถูกย่อยแล้ว รวมทั้งวิตามิน เกลือแร่
ฮอร์โมนและสารอื่นๆที่ละลายน้ำได้ สารเหล่า นี้จึงอยู่ในรูปสารละลาย
มีประมาณ 50 % ของเลือดทั้งหมด
น้ำเลือดทำหน้าที่ลำเลียงอาหารที่ถูกดูดซึมจากลำไส้เล็กไปสู่ส่วนต่างๆของเซลล์ทั่วร่างกายและ
ลำเลียงของเสียที่เป็นของเหลวจากเซลล์ เช่น ยูเรีย มาสู่ไต
ซึ่งไตจะสกัดเอาสารยูเรียออกจากเลือดแล้วขับถ่ายออกมาในรูปของปัสสาวะ
1.2 ส่วนที่เป็นของแข็ง
มีอยู่ประมาณ 50% ของเลือดทั้งหมด
ประกอบด้วย
- เซลล์เม็ดเลือดแดง ในขณะที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่
จะอยู่ในไขกระดูกและมีนิวเคลียส
แต่เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะเข้าไปอยู่ในกระแสเลือดแล้วนิวเคลียสจะ หายไป
เม็ดเลือดแดงทำหน้าที่ขนส่งแก๊สออกซิเจน
จากปอดไปสู่เซลล์ทั่ร่างกายและขนส่งแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นของเสียที่เกิดจากการสลายอาหาร
จากเซลล์มาสู่ถุงลมในปอดเพื่อขับถ่ายออกนอกร่างกายทางลมหายใจออก
โดยเฉลี่ยเม็ดเลือดแดงจะมีชีวิตอยู่ในกระแสเลือดประมาณ 90- 120 วัน หลังจากนั้น จะถูกส่งไปทำลายที่ตับและม้าม
- เซลล์เม็ดเลือดขาว มีขนาดใหญ่กว่าเซลล์เม็ดเลือดแดง ภายในมีนิวเคลียส
ทำหน้าที่ทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย
- เกล็ดเลือด
เป็นชิ้นส่วนของเซลล์ที่มีรูปร่างเป็นแผ่นเล็กๆปนอยู่ในน้ำเลือด ไม่มีนิวเคลียส
มีหน้าที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว เวลาเกิดบาดแผลเล็กๆเกล็ดเลือดจะ ทำให้เส้นใย
( fibrin ) ปกคลุมบาดแผลทำให้เลือดหยุดไหล
เป็นการป้องกันไม่ให้ร่างกายเสียเลือดมากเกินไป เกล็ดเลือดจะมีอายุอยู่ได้ประมาณ 4 วัน
2. เส้นเลือด
( blood vessels ) เส้นเลือดในร่างกายคนแบ่งออกได้ 3 ประเภท คือ - เส้นเลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจ เรียกว่า อาร์เทอรี ( Artery
)
- เส้นเลือดที่นำเลือดเข้าสู่หัวใจ เรียกว่า เส้นเวน ( Vein
)
- เส้นเลือดฝอย ( Capillaries )
เส้นเลือดอาร์เทอรี เป็นเส้นเลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจ
มีขนาดต่างๆกัน ขนาดใหญ่คือ เอออร์ตา มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว และขนาดเล็กมีเส้นผ่าน ศูนย์กลาประมาณ 0.2 มิลลิเมตร ไม่มีลิ้น เส้นเลือดอาร์เทอรี
ประกอบด้วยกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่ยืดหยุ่นได้ มีผนังหนา สามารถรับแรงดันเลือด
ซึงเป็นแรงดัน ค่อนข้างสูง
อันเป็นผลเนื่องมาจากการบีบตัวของหัวใจห้องล่าซ้าย
ความดันของเลือดจะสูงมากในเส้นเลือดอาร์เทอรีใกล้หัวใจ คือ เส้นเลือดแดงใหญ่ที่สุดที่
เรียกว่า เอออร์ตา
และค่อยๆลดลงตามลำดับเมื่ออยู่ห่างจากหัวใจไปเรื่อยๆจนถึงอวัยะต่างๆดังนั้นการวัดความดันเลือด
เส้นเลือดที่เหมาะสำหรับวัดความดัน เลือดคือเส้นอาร์เทอรีที่ต้นแขน
ผู้ใหญ่อายุ 20 - 30 ปี มีความดันเลือดปกติประมาณ 120/80 มิลลิเมตรปรอท ตัวเลขข้างหน้า ( 120 )หมายถึง
ความดันโลหิต ขณะหัวใจบีบตัว เรียกว่าความดันซิสโทลิก ( Systolie
pressure ) ตัวเลขข้างหลัง( 80 ) หมายถึงความดันดลหิตของหัวใจคลายตัว เรียกว่า ความดันไดแอสโท
ลิก ( Diastolie pressure )ที่เรียกว่า
การจับชีพจร ซึ่งชีพจร ( pluse ) หมายถึงอัตราการเต้นของหัวใจ
จงหวะการหยืดหยุ่นของเส้นเลือด อาร์เทอรีเป็นไปตามจังหวะการเต้นของหัวใจ
สำหรับการเต้นของหัวใจปกติประมาณ 72 ครั้งต่อนาที
แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามลักษณะต่างๆ เช่น เพศ วัย อิริยาบท โรคภัยไข้เจ็บ
เป็นต้น
3. หัวใจ ( heart )
หัวใจจะทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย
โดยจะรับเลือดที่มีออกซิเจนสูงจากปอดเข้าทางหัวใจห้องบนซ้ายผ่านต่อมายังหัวใจห้องล่างซ้าย
เพื่อส่งออกไปยังอวัยวะต่างๆขอองร่างกายและจะรับเลือดที่มีออกซิเจนน้อยจากส่วนต่างๆของร่างกายกลับเข้าสู่หัวใจทางหัวใจห้องบนขวา
และผ่านไปยังหัวใจ ห้องล่างขวาเพื่อส่งไปยังปอด
เลือดที่มีออกซิเจนต่ำจะไปยังปอดเพื่อรับออกซิเจนและกลับเข้าสู่หัวใจอีกครั้งหมุนเวียนตลอดเวลาอย่างเป็นระบบ
หรือกล่าวได้ ว่าเลือดดำ ( เลือดที่มีแก๊สออกซิเจนต่ำ )จากส่วนต่างๆ
ของร่างกายไหลเข้าหัวใจทางหัวใจห้องบนขวาโดยเลือดจากส่วนบนของร่างกายจะเข้าสู่หัวใจทางเส้น
เลือดซุปิเรียเวนาคาวาและเลือดจากส่วนล่างของร่างกายจะเข้าสู่หัวใจห้องบนขวาทางเส้นเลือดอินพีเรียเวนาคาวา
จากนั้นหัวใจห้องบนขวาจะหดตัวให้เลือด ผ่านลิ้นหัวใจลงสู่หัวใจห้องล่างขวาแล้วหัวใจห้องล่างขวาจะบีบตัวให้เลือดไปเข้าไปในเส้นเลือดพัลโมนารีอาร์เทอรีจากหัวใจไปยังปอด
เลือดดำจะผ่านเข้าไป ในเส้นเลือดฝอยรอบๆถุงลมปอด
แล้วจ่ายคาร์บอนไดออกไซด์ให้กับถุงลมปอดแล้วรับแก๊สออกซิเจนเข้ามาแทนเป็นผลให้เลือดดำกลายเป็นเลือดแดง
( เลือดที่ มีแก๊สออกซิเจนสูง )
แล้วไหลออกจากปอดเข้าสู่หัวใจห้องบนซ้ายทางเส้นเลือดพัลโมนารีเวนจากนั้นหัวใจห้องบนซ้ายจะบีบเลือดลงไปที่หัวใจห้องล่างซ้าย
เพื่อให้หัวใจห้องล่างซ้ายบีบเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายต่อไป
การทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต
หัวใจของคนเรามีลักษณะเป็นโพรง มี 4 ห้อง
โดยแบ่งเป็นห้องบน 2 ห้องเรียก เอเตรียม(Atrium) และห้องล่าง 2 ห้อง เรียกว่า เวนตริเคิล (Ventricle) หัวใจห้อง บนซ้ายและล่างซ้ายมีลิ้นไบคัสพิดคั่นฺ(Bicuspid)อยู่ ส่วนห้องบนขวาและล่างขวามีลิ้นไตรคัสพิด(Tricuspid)คั่นอยู่ ซึ่งลิ้นทั้งสองทำหน้าที่คอยปิด-เปิด เพื่อไม่
ให้เลือดไหลย้อนกลับ
หัวใจทำหน้าที่สูบฉีดเลือดโดยการบีบตัวและคลายตัวของกล้ามเนี้อหัวใจเป็นจังหวะ
ทำให้เลือดไหลไปตามหลอดเลือดต่าง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น